Tuesday, January 3, 2006

บ่นแบบแก่ๆ รับปีใหม่ที่มาถึง..

แปลกเหมือนกันนะ.. ชีวิตคนเรา..
หลายครั้ง.. ที่ชีวิตก็อยู่ได้..และในใจลึกๆแล้วก็มีความสุข.. ...ทั้งๆที่เศร้าใจยิ่งนัก...
เราพบคนๆหนึ่ง ที่ในอดีตเคยพยายามฆ่าตัวตายเพราะชีวิตไม่มีความสุข..
ข้อนี้เราเองก็ต้องยอมรับกับตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ไ่ด้นะ ว่าเราเอง..ก็เคยคิด..
..และไม่ได้คิดครั้งเดียว..
ชีวิตคนเรานั้น คงต้องผ่านมรสุมมาก่อน จึงจะได้เห็นแสงสว่างเรืองรองแห่งความสุขสินะ
และในช่วงที่ใจไม่อยากทนรับมรสุมนี้อีกต่อไป ความรู้สึกนี้ก็คงก่อตัวขึ้น..
แต่ก็ในช่วงที่ใจไม่อยากทนรับมรสุมนี้อีกต่อไปนี่แหละ.. ที่พายุใกล้ถึงเวลาจะอ่อนตัวลง และเปิดให้แสงสว่างเรื่อเรืองส่องผ่านลงมาได้..
สองปี.. ที่เรารู้สึกว่าสภาพจิตใจตัวเองย่ำแย่.. ปิดใจ.. และเกลาให้ตนเองกลายเป็นคนไม่พูด.. ทุกวินาที ใจเราไม่เคยว่างไปด้วยความคิด ที่หวนถึงอดีตเหล่านั้น... รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ มิตรภาพ เสียงดนตรี ความพยายาม ความมุ่งมั่น ความทุ่มเท ทุกสิ่งที่เราให้ไปโดยเต็มใจ ยกให้ทุกวินาทีของชีวิต ทุกๆสิ่งที่ในที่สุดแล้วก็กลายเป็นความรักที่เราไม่เคยรู้สึก..
ความสุขที่ได้อยู่ในหมู่ผองเพื่อนจำนวนถึงกว่าห้าสิบ และครูอีกหลายคน ทุกสิ่งอันเชื่อมโยงเข้าด้วยกันโดยเสียงดนตรี เราทั้งหมดคือหนึ่งเดียวกัน เราทำทุกอย่างร่วมกัน ภายใต้ชื่อเดียวกัน ต่างพ่อต่างแม่ต่างการเลี้ยงดู แต่ทั้งหมดก็มารวมกัน ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งร่วมกัน มุ่งมั่น ฝ่าฟัน พยายามไปด้วยกัน ยามสุขก็สุขด้วยกัน ยามทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน
...เป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้รับ... ..คิดถึงทีไรก็น้ำตาไหล ทั้งไหลอยู่ในใจและรินไหลออกมาจากตาจริงๆ..

...แม้จะเจ็บปวด แต่ก็ปรารถนาจะเจ็บปวดอยู่เช่นนี้ เพราะหากวันใดที่ความเจ็บปวดนี้หยุดลง เมื่อนั้นคงไร้ความสุขลึกๆอันได้มาจากการหวนนึกถึงความทรงจำนั้น...

ช่วงที่เคยคิดฆ่าตัวตายนั่นน่ะ เป็นช่วงปลายๆของสองปีที่ผ่านพ้นมานั้น
เป็นช่วงที่ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่อย่างน้อยก็ยังมีคอมเป็นจุดยึดเหนี่ยวบ้าง แต่ถึงอย่างไรแล้ว ในที่สุดก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น..
..อาจเพราะลึกๆแล้วใจเรายังคงหลงเหลือความสุขอยู่อีกหรือไร...
หลายคนเคยสูญเสียสิ่งที่รักแล้วทุกข์ใจยิ่งนักไปแสนยาวนาน.... เราก็คงเป็นเช่นนั้น
หลายคนเคยสูญเสียสิ่งที่รักแล้วปิดใจตนเอง.... นั่นคือเราหรือ..?
หลายคนเคยสูญเสียสิ่งที่รักแล้วคิดฆ่าตัวตาย.... เราในช่วงนั้นคิดเพราะเหตุผลนี้รึเปล่า...

ยอมรับเลยว่า ..โดดเดี่ยวยิ่งนัก...
พยายามเข้าหาคน แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจเราอย่างแท้จริง.... เพราะเราปิดใจ.. หลอมหน้ากากขึ้นสวมไว้ สร้างกำแพงสูงกำบังตัวตนภายใน... เพราะเหตุนี้หรือไร?
ในช่วงนี้ แม้จะผ่านสามปี แม้จะเห็นแสงสว่างแล้ว แต่ใจเราก็ยังคงมืดมิดอยู่ในบางส่วน
..เรายังคงโดดเดี่ยว ยังคงปิดใจ.. และเราก็ได้แบ่งตัวตนของเราออกเป็นสองส่วน แบ่งออกโดยปรารถนาจะให้แยกออกจากกัน สองส่วนเป็นดุจคนละคน และเมื่อเอ่ยถึง สองตัวตนนี้จะไม่เชื่อมโยงถึงกัน...
ในบลอคอันร้างไร้คนนี่เราคงพูดได้สินะ.. ..ว่าจริงๆ ในใจลึกๆนั้นเราปรารถนาจะให้ใครสักคนเข้าใจและเห็นถึงตัวตนแท้จริง เห็นถึงทุกสิ่งที่เราเป็นโดยแท้จริง โดยที่เราไม่ต้องบอกอะไร ไม่ต้องชี้แนะสิ่งใด ..คนที่เราเปิดใจให้ คนที่อย่างน้อยๆ เมื่ออยู่ด้วยแล้ว ตัวตนทั้งสองก็ราวเป็นหนึ่งเดียว...
..หนึ่งตัวตนที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ หากแต่กลับมิใช่ความเป็นจริงในชีวิตจริง ตัวตนที่เราบอกได้เลยว่า.. คือเราคนนี้ที่อยู่ในเนต ในโลกที่จะหลุดจากชีวิตจริง.... และอีกหนึ่งตัวตนที่เป็นชีวิตจริง แต่กลับเป็นหน้ากากที่เราหลอมไว้ ผสมกับสัพเพเหระอันมิได้เข้าถึงแก่นแท้ตัวตนแท้จริงของเราเลย.. ตัวตนที่เราใช้ในชีวิตจริง ..ชีวิตที่ปิดบังตัวตนแท้จริงอันราวโลกมายานั้นไว้...
หากจะพูด ตัวตนทั้งสองนี้แม้จะต่างกันสุดขั้วเพียงใด ในที่สุดแล้วก็ยังซ้อนทับกัน หากแต่การจะทำให้เป็นเหมือนคนเดียวกันนั้นเป็นสิ่งที่เรารู้สึกได้เลยว่า.. หากพยายามดึงดันโดยไม่ถูกวิธีนั้น เราจะยิ่งปิดใจแน่นสนิทขึ้น เพราะรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้เปิดใจ
แต่ที่ว่าถูกวิธีนั้น...จนบัดนี้กระทั่งตัวเราเองก็ไม่รู้.....

คนที่จะเปิดใจเราได้นั้น.. ไม่รู้สำหรับคนอื่นมองแล้วจะมีรึไม่
แต่เรารู้สึก ..เราได้พบคนนั้นแล้ว..
..พี่สาวผู้อยู่ในโลกที่ฟังแล้วแตกต่างจากเรานัก แม้จะห่างกันนัก แม้จะต่างกัน แม้เราจะเดินกันบนคนละเส้นทาง แต่เราก็ยังมาเจอกัน..
..เพราะเราเชื่อในพรหมลิขิต และใจเราก็บอกโดยมิอิดเอื้อนเลยว่า 'เปิดใจให้คนนี้'...
..... Nee-sama

.. หากวันใดที่ท่านรู้สึก.. เมื่อนั้นโลกของข้าคงแปรเปลี่ยนไป...
....ความมืดอาจผันแปรเป็นแสงสว่าง วิธีชีวิตอาจกลับด้าน บาดแผลอาจลบเลือน....

No comments: